Archive for the ‘Network’ Category
การแก้ไขในกรณีที่ Switch ไม่สามารถ Boot Rom และเข้าใช้งาน Switch ไม่ได้
Cisco Catalyst 3850 ไม่สามารถบูตเข้าสู่ระบบปฏิบัติการได้ เนื่องจากตัวแปร BOOT Environment Variable ยังไม่ได้ตั้งค่าให้ชี้ไปที่ไฟล์ Image ที่สามารถบูตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ switch ไม่สามารถบูตเข้าสู่ Mode การทำงานปกติ และ Switch เข้าสู้โหมด ROMmon อัตโนมัติเพื่อทำการแก้ไขโดยจะแสดง Prompt
switch:
และเมื่อ List ดูรายการด้วยคำสั่ง dir จะพบว่า flash อยู่ในสถานะ ReadOnly ไม่สามารถ copy (firmware).bin ไปวางและให้ Boot ได้
List of filesystems currently registered:
xmodem[0]: (read-only)
null[1]: (read-write)
bs[3]: (read-only)
usbflash0[10]: (read-write)
flash[19]: (read-only)
tftp[20]: (read-write)
ftp[21]: (read-only)
http[22]: (read-only)
วิธีการแก้ไขคือ เราจะ Boot ROM จาก usb แทน โดยให้ copy ไฟล์ firmware ที่นามสกุล *.bin ไปวางใน flash และเสียบไปที่ช่อง usb ของ Switch และจะพบอุปกรณ์ชื่อ usbflash0[10]: (read-write) ให้ลอง dir usbflash0: ดูว่ามี firmware ที่เราก๊อบไปวางไว้ในนั้นหรือเปล่า
จากนั้นในโหมด ROMmon ให้ใช้คำสั่ง boot
เพื่อบูตจากไฟล์ IOS ที่อยู่ใน USB โดยระบุเส้นทางไปยังไฟล์ .bin
ดังนี้:
#boot usbflash0:cat3k_caa-universalk9.16.12.09.SPA.bin
Switch จะพยายามบูตจากไฟล์ .bin
ใน USB ที่คุณระบุ ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าสู่ระบบปฏิบัติการชั่วคราวเพื่อทำการฟอร์แมต flash:
หรือคัดลอก IOS ลงใน flash:
ได้
เมื่อ Boot เข้าเครื่องได้แล้วให้ทำการ format flash: (ข้อมูลอื่นๆหายหมด) หรือ Copy firmware ลงใน flash แล้วสั่งให้ Boot จาก Firmware ตัวใหม่ที่ก๊อบเข้าไป
Cisco Switch ควบคุมการจ่ายไฟ POE (Power over Ethernet) ในแต่ละพอร์ต
คุณสามารถใช้คำสั่งบน Cisco Switch เพื่อควบคุมการจ่ายไฟ POE (Power over Ethernet) ในแต่ละพอร์ตตามที่ต้องการ โดยการตั้งค่าเปิดหรือปิด POE ตามพอร์ตที่ต้องการ ดังนี้:
1.เข้าสู่โหมด Configuration:
#enable
#configure terminal
2.เลือกพอร์ตที่ต้องการตั้งค่า:
ตัวอย่างเช่น หากต้องการตั้งค่า POE บนพอร์ต interface GigabitEthernet 0/1
#interface GigabitEthernet0/1
3.เปิดหรือปิด POE ตามที่ต้องการ:
เปิด POE:
#power inline auto
ปิด POE:
#power inline never
4.ออกจากโหมด Configuration และบันทึกการตั้งค่า:
เมื่อทำการตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว คุณสามารถบันทึกการตั้งค่าโดยการพิมพ์คำสั่ง:
#end
#write memory
ตัวอย่างการตั้งค่า
หากต้องการเปิด POE บนพอร์ต GigabitEthernet0/2
และปิด POE บนพอร์ต GigabitEthernet0/3
คุณสามารถใช้คำสั่งตามนี้:
#enable
#configure terminal
#interface GigabitEthernet0/2
#power inline auto
#exit
#interface GigabitEthernet0/3
#power inline never
#end
#write memory
คำสั่งเพิ่มเติม
เช็คสถานะการจ่ายไฟ POE บนพอร์ตทั้งหมด:
#show power inline
คำสั่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณควบคุมการจ่ายไฟ POE บน Cisco Switch ได้ตามต้องการ:
ถ้าต้องการกำหนดขนาดโหลดของ POE ที่ปล่อยในแต่ละพอร์ตบน Cisco Switch สามารถทำได้โดยการกำหนดปริมาณกำลังไฟ (power allocation) ในแต่ละพอร์ต ซึ่งจะช่วยควบคุมกำลังไฟสูงสุดที่แต่ละพอร์ตสามารถจ่ายได้ การตั้งค่าจะเป็นการกำหนดลิมิตของวัตต์ที่ปล่อยให้กับอุปกรณ์ POE ที่เชื่อมต่ออยู่ ตัวอย่างการตั้งค่า:
1.เข้าสู่โหมด Configuration:
#enable
#configure terminal
2.เลือกพอร์ตที่ต้องการตั้งค่า:
ตัวอย่างเช่น หากต้องการตั้งค่า POE บนพอร์ต interface GigabitEthernet 0/1
#interface GigabitEthernet0/1
3.กำหนดขนาดกำลังไฟที่ต้องการ (ในหน่วยวัตต์)
สามารถกำหนดได้เป็นจำนวนวัตต์ที่อุปกรณ์ต้องการ โดยใช้คำสั่ง:
#power inline static max <wattage>
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้พอร์ตจ่ายไฟสูงสุด 15.4 วัตต์:
#power inline static max 15.4
4.ออกจากโหมด Configuration และบันทึกการตั้งค่า:
เมื่อทำการตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว คุณสามารถบันทึกการตั้งค่าโดยการพิมพ์คำสั่ง:
#end
#write memory
ตัวอย่างการตั้งค่า
หากต้องการกำหนดให้พอร์ต GigabitEthernet0/1
จ่ายกำลังไฟสูงสุดที่ 15.4 วัตต์ และ GigabitEthernet0/2
จ่ายที่ 7 วัตต์ สามารถตั้งค่าได้ดังนี้:
วิธีการเชื่อมต่อสาย Serial Console ไป Cisco Switch บนเครื่อง Macbook Air
การเชื่อมต่อ Console Port ด้วยโปรแกรม Terminal บน MacBook สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้:
ขั้นตอนการเชื่อมต่อ
1. เชื่อมต่อสาย Console:
ใช้สาย Console (เช่น RJ-45 to Serial หรือ USB to Serial) เชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่ายกับ MacBook
2. เปิด Terminal:
ไปที่ Applications > Terminal
ค้นหา Serial Port:
ค้นหาชื่อ Serial Port ที่มีลักษณะคล้าย tty.usbserial-xxxx
หรือ tty.usbmodemxxxx
ในที่นี้จะชื่อ tty.usbserial-1120 และตามด้วย baud rate 9600 (อาจแตกต่างกันตามอุปกรณ์ของคุณ)
3. เชื่อมต่อด้วย screen:
ใช้คำสั่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับ Console Port:
ใช้คำสั่งนี้ใน Terminal เพื่อตรวจสอบ Serial Port ที่เชื่อมต่อ:
เชื่อมต่อด้วยคำสั่ง screen
% screen /dev/tty.usbserial-1120 9600
เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ คุณควรเห็นข้อความจากอุปกรณ์ให้เข้าสู่ระบบ
ถ้าต้องการออกจากโปรแกรม Screen ให้กด Ctrl+D (Dtached). จะเป็นการย่อปิด screen ออกไป Shell ของเครื่องเป็นการชั่วคราว ไม่ได้ออกจริงๆ ให้ ลิสต์รายการที่ย่อ(Dtached) ไว้มีอะไรบ้างให้ใช้คำสั่ง
% screen -ls
จะเห็นว่ามีหลายหน้าต่างที่ย่อไว้
ให้ใช้คำสั่ง
% screen -r [session_id]
เพื่อดึง session นั้นเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
4. คำสั่งอื่นๆ
ปิด session ที่ต้องการ: คุณสามารถปิด session ได้ด้วยคำสั่ง:
% screen -X -S [session_id] quit
หากต้องการปิดทั้งหมด: คุณสามารถใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อปิด session ทั้งหมดในครั้งเดียว:
% pkill screen
หมายเหตุ
- เมื่อคุณปิด session
screen
ทั้งหมด ข้อมูลใน session จะหายไป - ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ต้องการข้อมูลใน session ก่อนที่จะลบ
การลบไดเรกทอรี (directory) บน Cisco switch
การลบไดเรกทอรี (directory) บน Cisco switch นั้นสามารถทำได้โดยใช้คำสั่งในโหมด privileged (enable mode
) โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- เข้าสู่ privileged mode:
- ตรวจสอบเนื้อหาใน flash memory:
- ลบไดเรกทอรี: ถ้าต้องการลบทั้งไดเรกทอรีและไฟล์ที่อยู่ภายใน ให้ใช้คำสั่ง
delete /force /recursive
ดังนี้:/force
คือการบังคับลบโดยไม่ถามยืนยันการลบแต่ละไฟล์/recursive
คือการลบไฟล์และโฟลเดอร์ย่อยภายในทั้งหมด
- ตรวจสอบการลบ: เมื่อทำการลบเสร็จแล้ว สามารถใช้คำสั่ง
dir flash:
อีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไดเรกทอรีถูกลบแล้ว
หมายเหตุ: คำสั่งนี้จะลบข้อมูลในไดเรกทอรีที่ระบุอย่างถาวร ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนใช้งาน
Cisco Switch เสียบสาย Console ให้ Login ด้วย Username และ Password
การตั้งค่าให้ Cisco Switch สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Console ด้วยการยืนยันผู้ใช้งานและรหัสผ่าน สามารถทำได้โดยการตั้งค่าตามขั้นตอนดังนี้:
- เชื่อมต่อกับ Switch ผ่าน Console
ใช้โปรแกรมเชื่อมต่อ Console เช่น PuTTY หรือ Tera Term เพื่อเข้าถึง Switch - เข้าสู่โหมด Configure Terminal
- ตั้งค่าผู้ใช้และรหัสผ่าน
กำหนดชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านที่ต้องการ โดยสามารถกำหนดระดับสิทธิ์ได้ด้วย - กำหนดให้ Console ใช้รหัสผ่านในการยืนยันตัวตน
- ตั้งรหัสผ่าน Enable Mode (ถ้ายังไม่ได้ตั้ง)
เพื่อความปลอดภัย ควรกำหนดรหัสผ่านสำหรับโหมด Enable ด้วย - บันทึกการตั้งค่า
เมื่อกำหนดค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว ให้บันทึกการตั้งค่าเพื่อให้มีผลเมื่อ Switch เริ่มต้นใหม่
กำหนดชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน Cisco Switch และเปิด SSH
เพิ่ม Local User และตั้งรหัสผ่านพร้อมกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง (เช่น ระดับ 15 สำหรับสิทธิ์เต็ม):
#enable
#configure terminal
#username <username> privilege 15 secret <password>
เปิดใช้งาน SSH บน Switch
กำหนดค่าการใช้งาน SSH และกำหนดเวอร์ชัน (แนะนำให้ใช้ SSH เวอร์ชัน 2):
#ip domain-name <domain_name> # กำหนด domain name ให้ Switch (เช่น example.com)
#crypto key generate rsa # สร้าง RSA key สำหรับ SSH
#ip ssh version 2 # ตั้งค่าให้ใช้ SSH เวอร์ชัน 2
กำหนดการเข้าถึง VTY Line สำหรับ SSH
กำหนดให้ VTY Line (พอร์ตที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกล) อนุญาตการเข้าถึงผ่าน SSH และใช้ Local User ในการยืนยันตัวตน:
#line vty 0 4 # เข้าสู่ VTY Line 0 ถึง 4
#transport input ssh # อนุญาตเฉพาะ SSH
#login local # ใช้ Local User สำหรับการยืนยันตัวตน
#exit
วิธีเปิดหรือปิด การเข้าใช้งาน Cisco Switch ผ่านทาง Web
วิธีเปิด
Cisco2960G#conf t
Enter configuration commands, one per line. End with CNTL/Z.
Cisco2960G(config)#ip http server
หรือแบบ https
Cisco2960G(config)#ip http secure-server
Cisco2960G(config)#ip http authentication local
Cisco2960G(config)#end
Cisco2960G#wr
Building configuration..
วิธีปิด
Cisco2960G#conf t
Enter configuration commands, one per line. End with CNTL/Z.
Cisco2960G(config)#no ip http server
Cisco2960G(config)#no ip http secure-server
Cisco2960G(config)#no ip http authentication local
Cisco2960G(config)#end
Cisco2960G#wr
Building configuration…
[OK]
ถ้าต้องการจะให้ Cisco Switch Sync Public time Server
Switch#enable
Switch#conf t
Switch(config)#clock timezone THA 7
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Translating “time.navy.mi.th”
^
% Invalid input detected at ‘^’ marker. <– ถ้าขึ้นแบบนี้แสดงว่าปิด DNS Lookup ไว้
บางกรณีที่ยัง Resolve ชื่อ DNS ไม่ได้เพราะยังไม่ได้กำหนดค่า Gateway ให้ออกเน็ทต้องทำการตั้งค่าก่อน
ตั้งค่า Default Gateway บน Switch
ตัวอย่าง > ให้ตั้งค่า IP ของ Fortigate (192.168.200.1) เป็น Default Gateway สำหรับ Switch ดังนี้:
#enable
#configure terminal
#ip default-gateway 192.168.200.1
#end
#write memory
Switch(config)#ip domain-lookup
Switch(config)#ip name-server 8.8.8.8
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Translating “time.navy.mi.th”…domain server (8.8.8.8) [OK]
Switch(config)#do show ntp status
Clock is unsynchronized, stratum 16, no reference clock
nominal freq is 119.2092 Hz, actual freq is 119.2092 Hz, precision is 2**18
reference time is 00000000.00000000 (07:00:00.000 THA Mon Jan 1 1900)
clock offset is 0.0000 msec, root delay is 0.00 msec
root dispersion is 0.00 msec, peer dispersion is 0.00 msec
Switch(config)#do show clock
14:56:02.971 THA Tue Oct 29 2024
Switch(config)#exit
Switch#wr
Building configuration…
[OK]
ปิด Auto Translation บน Cisco Switch และ ปิด Console Log
Switch(config)#no ip domain-lookup
Switch(config)#vtp mode transparent
Switch(config)#no logging console