Cisco Switch ควบคุมการจ่ายไฟ POE (Power over Ethernet) ในแต่ละพอร์ต
คุณสามารถใช้คำสั่งบน Cisco Switch เพื่อควบคุมการจ่ายไฟ POE (Power over Ethernet) ในแต่ละพอร์ตตามที่ต้องการ โดยการตั้งค่าเปิดหรือปิด POE ตามพอร์ตที่ต้องการ ดังนี้:
1.เข้าสู่โหมด Configuration:
#enable
#configure terminal
2.เลือกพอร์ตที่ต้องการตั้งค่า:
ตัวอย่างเช่น หากต้องการตั้งค่า POE บนพอร์ต interface GigabitEthernet 0/1
#interface GigabitEthernet0/1
3.เปิดหรือปิด POE ตามที่ต้องการ:
เปิด POE:
#power inline auto
ปิด POE:
#power inline never
4.ออกจากโหมด Configuration และบันทึกการตั้งค่า:
เมื่อทำการตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว คุณสามารถบันทึกการตั้งค่าโดยการพิมพ์คำสั่ง:
#end
#write memory
ตัวอย่างการตั้งค่า
หากต้องการเปิด POE บนพอร์ต GigabitEthernet0/2
และปิด POE บนพอร์ต GigabitEthernet0/3
คุณสามารถใช้คำสั่งตามนี้:
#enable
#configure terminal
#interface GigabitEthernet0/2
#power inline auto
#exit
#interface GigabitEthernet0/3
#power inline never
#end
#write memory
คำสั่งเพิ่มเติม
เช็คสถานะการจ่ายไฟ POE บนพอร์ตทั้งหมด:
#show power inline
คำสั่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณควบคุมการจ่ายไฟ POE บน Cisco Switch ได้ตามต้องการ:
ถ้าต้องการกำหนดขนาดโหลดของ POE ที่ปล่อยในแต่ละพอร์ตบน Cisco Switch สามารถทำได้โดยการกำหนดปริมาณกำลังไฟ (power allocation) ในแต่ละพอร์ต ซึ่งจะช่วยควบคุมกำลังไฟสูงสุดที่แต่ละพอร์ตสามารถจ่ายได้ การตั้งค่าจะเป็นการกำหนดลิมิตของวัตต์ที่ปล่อยให้กับอุปกรณ์ POE ที่เชื่อมต่ออยู่ ตัวอย่างการตั้งค่า:
1.เข้าสู่โหมด Configuration:
#enable
#configure terminal
2.เลือกพอร์ตที่ต้องการตั้งค่า:
ตัวอย่างเช่น หากต้องการตั้งค่า POE บนพอร์ต interface GigabitEthernet 0/1
#interface GigabitEthernet0/1
3.กำหนดขนาดกำลังไฟที่ต้องการ (ในหน่วยวัตต์)
สามารถกำหนดได้เป็นจำนวนวัตต์ที่อุปกรณ์ต้องการ โดยใช้คำสั่ง:
#power inline static max <wattage>
ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้พอร์ตจ่ายไฟสูงสุด 15.4 วัตต์:
#power inline static max 15.4
4.ออกจากโหมด Configuration และบันทึกการตั้งค่า:
เมื่อทำการตั้งค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว คุณสามารถบันทึกการตั้งค่าโดยการพิมพ์คำสั่ง:
#end
#write memory
ตัวอย่างการตั้งค่า
หากต้องการกำหนดให้พอร์ต GigabitEthernet0/1
จ่ายกำลังไฟสูงสุดที่ 15.4 วัตต์ และ GigabitEthernet0/2
จ่ายที่ 7 วัตต์ สามารถตั้งค่าได้ดังนี้:
ในการรัน TFTP server บนเครื่อง Mac
คุณสามารถทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้:
1. เปิด Terminal: ไปที่ Applications > Terminal
2. ตรวจสอบสถานะ: คุณสามารถตรวจสอบว่า TFTP daemon กำลังทำงานอยู่หรือไม่ โดยใช้คำสั่ง:
% sudo launchctl list | grep tftp
หรือใช้คำสั่ง
%sudo lsof -i :69
หรือคำสั่ง
%netstat -atp UDP | grep tftp
หรือลอง ทดสอบเชื่อม localhost
%tftp localhost
ถ้าเข้าสู่ prompt ของ tftp
ได้ (เช่น tftp>
) หมายความว่า TFTP server ของคุณทำงานอยู่
3.เช็คว่า tftpd มีอยู่ในเครื่อง
% cat /System/Library/LaunchDaemons/tftp.plist
4.เพื่อความง่ายในการหา Folder จะทำการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
% cd /private
% sudo rm -rf tftpboot
% mkdir /Users/(YourUser)/tftpboot
% sudo ln -s /Users/(YourUser)/tftpboot tftpboot
ให้ทำการ Start tftp ด้วยคำสั่ง
% sudo launchctl load -F /System/Library/LaunchDaemons/tftp.plist
ถ้าต้องการ Stop process ให้ใช้คำสั่ง
% sudo launchctl unload /System/Library/LaunchDaemons/tftp.plist
วิธีการเชื่อมต่อสาย Serial Console ไป Cisco Switch บนเครื่อง Macbook Air
การเชื่อมต่อ Console Port ด้วยโปรแกรม Terminal บน MacBook สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้:
ขั้นตอนการเชื่อมต่อ
1. เชื่อมต่อสาย Console:
ใช้สาย Console (เช่น RJ-45 to Serial หรือ USB to Serial) เชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่ายกับ MacBook
2. เปิด Terminal:
ไปที่ Applications > Terminal
ค้นหา Serial Port:
ค้นหาชื่อ Serial Port ที่มีลักษณะคล้าย tty.usbserial-xxxx
หรือ tty.usbmodemxxxx
ในที่นี้จะชื่อ tty.usbserial-1120 และตามด้วย baud rate 9600 (อาจแตกต่างกันตามอุปกรณ์ของคุณ)
3. เชื่อมต่อด้วย screen:
ใช้คำสั่งนี้เพื่อเชื่อมต่อกับ Console Port:
ใช้คำสั่งนี้ใน Terminal เพื่อตรวจสอบ Serial Port ที่เชื่อมต่อ:
เชื่อมต่อด้วยคำสั่ง screen
% screen /dev/tty.usbserial-1120 9600
เมื่อเชื่อมต่อสำเร็จ คุณควรเห็นข้อความจากอุปกรณ์ให้เข้าสู่ระบบ
ถ้าต้องการออกจากโปรแกรม Screen ให้กด Ctrl+D (Dtached). จะเป็นการย่อปิด screen ออกไป Shell ของเครื่องเป็นการชั่วคราว ไม่ได้ออกจริงๆ ให้ ลิสต์รายการที่ย่อ(Dtached) ไว้มีอะไรบ้างให้ใช้คำสั่ง
% screen -ls
จะเห็นว่ามีหลายหน้าต่างที่ย่อไว้
ให้ใช้คำสั่ง
% screen -r [session_id]
เพื่อดึง session นั้นเปิดขึ้นมาอีกครั้ง
4. คำสั่งอื่นๆ
ปิด session ที่ต้องการ: คุณสามารถปิด session ได้ด้วยคำสั่ง:
% screen -X -S [session_id] quit
หากต้องการปิดทั้งหมด: คุณสามารถใช้คำสั่งต่อไปนี้เพื่อปิด session ทั้งหมดในครั้งเดียว:
% pkill screen
หมายเหตุ
- เมื่อคุณปิด session
screen
ทั้งหมด ข้อมูลใน session จะหายไป - ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ต้องการข้อมูลใน session ก่อนที่จะลบ
การลบไดเรกทอรี (directory) บน Cisco switch
การลบไดเรกทอรี (directory) บน Cisco switch นั้นสามารถทำได้โดยใช้คำสั่งในโหมด privileged (enable mode
) โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- เข้าสู่ privileged mode:
- ตรวจสอบเนื้อหาใน flash memory:
- ลบไดเรกทอรี: ถ้าต้องการลบทั้งไดเรกทอรีและไฟล์ที่อยู่ภายใน ให้ใช้คำสั่ง
delete /force /recursive
ดังนี้:/force
คือการบังคับลบโดยไม่ถามยืนยันการลบแต่ละไฟล์/recursive
คือการลบไฟล์และโฟลเดอร์ย่อยภายในทั้งหมด
- ตรวจสอบการลบ: เมื่อทำการลบเสร็จแล้ว สามารถใช้คำสั่ง
dir flash:
อีกครั้งเพื่อยืนยันว่าไดเรกทอรีถูกลบแล้ว
หมายเหตุ: คำสั่งนี้จะลบข้อมูลในไดเรกทอรีที่ระบุอย่างถาวร ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนใช้งาน
Cisco Switch เสียบสาย Console ให้ Login ด้วย Username และ Password
การตั้งค่าให้ Cisco Switch สามารถเข้าถึงได้ผ่าน Console ด้วยการยืนยันผู้ใช้งานและรหัสผ่าน สามารถทำได้โดยการตั้งค่าตามขั้นตอนดังนี้:
- เชื่อมต่อกับ Switch ผ่าน Console
ใช้โปรแกรมเชื่อมต่อ Console เช่น PuTTY หรือ Tera Term เพื่อเข้าถึง Switch - เข้าสู่โหมด Configure Terminal
- ตั้งค่าผู้ใช้และรหัสผ่าน
กำหนดชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านที่ต้องการ โดยสามารถกำหนดระดับสิทธิ์ได้ด้วย - กำหนดให้ Console ใช้รหัสผ่านในการยืนยันตัวตน
- ตั้งรหัสผ่าน Enable Mode (ถ้ายังไม่ได้ตั้ง)
เพื่อความปลอดภัย ควรกำหนดรหัสผ่านสำหรับโหมด Enable ด้วย - บันทึกการตั้งค่า
เมื่อกำหนดค่าทั้งหมดเสร็จแล้ว ให้บันทึกการตั้งค่าเพื่อให้มีผลเมื่อ Switch เริ่มต้นใหม่
กำหนดชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน Cisco Switch และเปิด SSH
เพิ่ม Local User และตั้งรหัสผ่านพร้อมกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง (เช่น ระดับ 15 สำหรับสิทธิ์เต็ม):
#enable
#configure terminal
#username <username> privilege 15 secret <password>
เปิดใช้งาน SSH บน Switch
กำหนดค่าการใช้งาน SSH และกำหนดเวอร์ชัน (แนะนำให้ใช้ SSH เวอร์ชัน 2):
#ip domain-name <domain_name> # กำหนด domain name ให้ Switch (เช่น example.com)
#crypto key generate rsa # สร้าง RSA key สำหรับ SSH
#ip ssh version 2 # ตั้งค่าให้ใช้ SSH เวอร์ชัน 2
กำหนดการเข้าถึง VTY Line สำหรับ SSH
กำหนดให้ VTY Line (พอร์ตที่ใช้สำหรับการเชื่อมต่อระยะไกล) อนุญาตการเข้าถึงผ่าน SSH และใช้ Local User ในการยืนยันตัวตน:
#line vty 0 4 # เข้าสู่ VTY Line 0 ถึง 4
#transport input ssh # อนุญาตเฉพาะ SSH
#login local # ใช้ Local User สำหรับการยืนยันตัวตน
#exit
วิธีเปิดหรือปิด การเข้าใช้งาน Cisco Switch ผ่านทาง Web
วิธีเปิด
Cisco2960G#conf t
Enter configuration commands, one per line. End with CNTL/Z.
Cisco2960G(config)#ip http server
หรือแบบ https
Cisco2960G(config)#ip http secure-server
Cisco2960G(config)#ip http authentication local
Cisco2960G(config)#end
Cisco2960G#wr
Building configuration..
วิธีปิด
Cisco2960G#conf t
Enter configuration commands, one per line. End with CNTL/Z.
Cisco2960G(config)#no ip http server
Cisco2960G(config)#no ip http secure-server
Cisco2960G(config)#no ip http authentication local
Cisco2960G(config)#end
Cisco2960G#wr
Building configuration…
[OK]
ถ้าต้องการจะให้ Cisco Switch Sync Public time Server
Switch#enable
Switch#conf t
Switch(config)#clock timezone THA 7
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Translating “time.navy.mi.th”
^
% Invalid input detected at ‘^’ marker. <– ถ้าขึ้นแบบนี้แสดงว่าปิด DNS Lookup ไว้
บางกรณีที่ยัง Resolve ชื่อ DNS ไม่ได้เพราะยังไม่ได้กำหนดค่า Gateway ให้ออกเน็ทต้องทำการตั้งค่าก่อน
ตั้งค่า Default Gateway บน Switch
ตัวอย่าง > ให้ตั้งค่า IP ของ Fortigate (192.168.200.1) เป็น Default Gateway สำหรับ Switch ดังนี้:
#enable
#configure terminal
#ip default-gateway 192.168.200.1
#end
#write memory
Switch(config)#ip domain-lookup
Switch(config)#ip name-server 8.8.8.8
Switch(config)#ntp server time.navy.mi.th
Translating “time.navy.mi.th”…domain server (8.8.8.8) [OK]
Switch(config)#do show ntp status
Clock is unsynchronized, stratum 16, no reference clock
nominal freq is 119.2092 Hz, actual freq is 119.2092 Hz, precision is 2**18
reference time is 00000000.00000000 (07:00:00.000 THA Mon Jan 1 1900)
clock offset is 0.0000 msec, root delay is 0.00 msec
root dispersion is 0.00 msec, peer dispersion is 0.00 msec
Switch(config)#do show clock
14:56:02.971 THA Tue Oct 29 2024
Switch(config)#exit
Switch#wr
Building configuration…
[OK]